เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2562 เป็นวันแรกที่มีการใช้งานประกาศอัตราค่าโดยสารรถโดยสารประจำทาง อันเนื่องจากการอนุมัติการปรับอัตราค่าโดยสารของคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง ในการประชุมครั้งที่ 10/2561 เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2561 (ซึ่งแต่เดิมให้มีผลบังคับใช้วันที่ 21 มกราคม 2562) การปรับอัตราค่าโดยสารครั้งนี้ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายและความสับสน เนื่องจากไม่ได้เป็นการปรับขึ้นราคาในรูปแบบที่คุ้นเคยกัน ผมจะขอสรุปเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นว่าการปรับอัตราค่าโดยสารครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นบ้าง
รถโดยสารประจำทางที่มีการปรับค่าโดยสาร
- รถ หมวด 1
- รถในกำกับของ ขสมก. ทั้งรถธรรมดา, รถปรับอากาศ
- รถเส้นทางปฏิรูป (เช่น R26E, Y70E)
- รถตู้โดยสารประจำทาง
- รถ หมวด 4
- รถสองแถว/มินิบัส ในกำกับของ ขสมก. (สีเลือดหมู)
- รถเอกชนที่ขึ้นตรงกับกรมการขนส่งทางบก (เช่น 1009, 1013 ซึ่งมีการเดินรถปรับอากาศ)
การปรับอัตราค่าโดยสารนี้แยกตามประเภทมาตรฐานการจดทะเบียนรถ
รถโดยสารธรรมดา (หมวด 1)
- รถโดยสารธรรมดา มาตรฐาน 3 (ครั้งนี้ไม่มีการแยกสีครีมแดง, สีขาวน้ำเงิน, สีชมพู, มินิบัส) ให้ปรับอัตราค่าโดยสารตลอดสายไม่เกิน 10 บาท (ขสมก. จัดเก็บแค่ 8 บาท) เป็นการปรับขึ้น 1 บาทของรถเอกชนร่วมบริการ แต่ 1.50 บาทของรถ ขสมก. ซึ่งแต่เดิม ขสมก. จัดเก็บค่าโดยสาร 6.50 บาท ซึ่งต่ำกว่าเพดานคือ 8 บาท
- รถโดยสารธรรมดา มาตรฐาน 3 (สีส้ม) และต้องเป็นรถใหม่หรือรถที่มีอายุการใช้งานมาแล้วไม่เกิน 2 ปีนับตั้งแต่วันจดทะเบียนครั้งแรกจนถึงวันที่ 21 มกราคม 2562 และจะต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยเช่น GPS กล้อง CCTV และ E-Ticket เป็นต้น ให้ปรับอัตราค่าโดยสารตลอดสายไม่เกิน 12 บาท (ขสมก. ยังไม่มีการเดินรถด้วยรถรุ่นนี้)
รถโดยสารธรรมดา คิดค่าโดยสารโดยไม่รวมค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ได้แก่
- ค่าบริการเดินรถบนทางด่วน 2 บาท (ไม่มีการเปลี่ยนแปลง)
- ค่าบริการเดินรถระหว่าง 23:00 – 05:00 นาฬิกา 1.50 บาท (ไม่มีการเปลี่ยนแปลง)
- ค่าบริการรถด่วน 1 บาท (ขสมก. ไม่ได้ดำเนินการแล้ว)
การลดอัตราค่าโดยสาร สามารถลดได้ไม่เกินร้อยละ 20 ของอัตราขั้นสูง ทำให้ ขสมก. สามารถเก็บค่าโดยสาร 8 บาทได้

รถโดยสารปรับอากาศ (หมวด 1)
- รถโดยสารปรับอากาศ มาตรฐาน 2 (สีครีมน้ำเงิน) ที่เดิมใช้ตารางค่าโดยสารระยะ 0-8 กิโลเมตรแรก 12 บาท (ขสมก. จัดเก็บแค่ 10 บาท) ปรับค่าโดยสาร 2 บาททุก 4 กิโลเมตร ค่าโดยสารสูงสุด 20 บาท (ขสมก. จัดเก็บแค่ 18 บาท) ใช้อัตราใหม่เป็นระยะ 0-8 กิโลเมตร 13 บาท (ขสมก. จัดเก็บ 12 บาท) ปรับค่าโดยสาร 2 บาททุก 4 กิโลเมตร ค่าโดยสารไม่เกิน 21 บาท (ขสมก. จัดเก็บแค่ 20 บาท) เป็นการปรับขึ้น 1 บาทของรถเอกชนร่วมบริการ แต่ 2 บาทของรถ ขสมก.
- รถโดยสารปรับอากาศ มาตรฐาน 2 (รถโดยสารปรับอากาศ EURO I และ EURO II – รถสีส้ม, สีฟ้า, สีเหลือง) ที่เดิมใช้ตารางค่าโดยสารระยะ 0-4 กิโลเมตรแรก 13 บาท (ขสมก. จัดเก็บแค่ 10 บาท) ปรับค่าโดยสาร 2 บาททุก 4 กิโลเมตร ค่าโดยสารสูงสุด 25 บาท ใช้อัตราใหม่เป็นระยะ 0-4 กิโลเมตรแรก 14 บาท (ขสมก. จัดเก็บแค่ 13 บาท) ปรับค่าโดยสาร 2 บาททุก 4 กิโลเมตร ค่าโดยสารไม่เกิน 26 บาท (ขสมก. จัดเก็บแค่ 25 บาท) เป็นการปรับขึ้น 1 บาทของรถเอกชนร่วมบริการ แต่ 2 บาทของรถ ขสมก.
- รถโดยสารปรับอากาศ มาตรฐาน 2 (สีฟ้า) เครื่องยนต์มาตรฐานไอเสียขั้นต่ำยูโรวันหรือยูโรทู และต้องเป็นรถใหม่หรือรถที่มีอายุการใช้งานมาแล้วไม่เกิน 2 ปีนับตั้งแต่วันจดทะเบียนครั้งแรกจนถึงวันที่ 21 มกราคม 2562 และจะต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยเช่น GPS กล้อง CCTV และ E-Ticket เป็นต้น ให้ใช้อัตราค่าโดยสารระยะ 0-4 กิโลเมตรแรก 15 บาท ระยะ 4-18 กิโลเมตร 20 บาท และระยะตั้งแต่ 18 กิโลเมตรขึ้นไป ไม่เกิน 25 บาท เป็นการประกาศบันไดค่าโดยสารแบบใหม่
รถโดยสารปรับอากาศ ให้จัดเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม สำหรับ
- การเดินรถบนทางด่วน 2 บาท
- การเดินรถระหว่าง 23:00 – 05:00 นาฬิกา 1.50 บาท
การลดอัตราค่าโดยสาร สามารถลดได้ไม่เกินร้อยละ 20 ของอัตราขั้นสูง ทำให้ ขสมก. สามารถลดค่าโดยสารได้ 2 บาทจากราคาที่ปรากฏในตารางค่าโดยสาร ซึ่งจริง ๆ แล้วรถรุ่นใหม่สามารถเก็บค่าโดยสารถูกกว่าที่แสดงในตารางนี้ได้ เช่น 12, 16, 20 บาท

รถตู้ (หมวด 1)
รถตู้โดยสาร ให้ปรับค่าโดยสารตามตารางที่แสดงบนรถโดยสาร แต่จะมีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม สำหรับการเดินรถบนทางด่วนด่านละ 5 บาท
รถหมวด 4
โดยปรกติ รถหมวด 4 จะใช้อัตราค่าโดยสารแบบเดียวกับรถหมวด 1
ทำไมจึงรู้สึกว่าค่ารถขึ้นเยอะ?
ตามข้อมูลที่ได้แสดงไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากในการปรับค่าโดยสารครั้งก่อน ขสมก. มิได้มีการปรับค่าโดยสารเช่นเดียวกับรถเอกชนร่วมบริการและผู้ประกอบการอื่น จึงทำให้เกิดช่องว่างของค่าโดยสารอยู่ราว 1 บาท ในการปรับค่าโดยสารครั้งนี้ ขสมก. เลือกที่จะปรับค่าโดยสารให้ใกล้เคียงกับรถเอกชนร่วมบริการและผู้ประกอบการอื่น รวมถึงให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางอนุญาตให้มีส่วนลดได้ จึงทำให้ค่าโดยสารขึ้นมาราว ๆ 2 บาทนั่นเอง ไม่นับรวมรถปรับอากาศรุ่นใหม่ ที่มีการประกาศใช้บันไดค่าโดยสารแบบใหม่เหลือแค่ 3 ราคา จึงทำให้ค่ารถโดยสารโดยรวมถีบขึ้น 4-7 บาท